วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ ๓ พระมหาอุปราชายกทัพเข้าเมืองกาญจนบุรี



โคลง๒   ๏ ยกพลผ่านด่านกว้าง           เสียงสนั่นม้าช้าง
                กึกก้อง  ทางหลวง
                ๏ ปวงประนมนบเกล้า          งามเสงียมเฟื้ยมเฝ้า
                อยู่ถ้า  ทูลสนอง
                ๏ ล่วงลุด่านเจดีย์               สามองค์มีแห่งหั้น
                แดนต่อ  แดนกันนั้น ฯลฯ

โคลง๔   ๏ มาเดียวเปลี่ยวอกอ้า              อายสู
                สถิตอยู่เอ้องค์ดู                     ละห้อย
                พิศโพ้นพฤกษ์พบู                บานเบิก ใจนา
                พลางคะนึงนุชน้อย               แน่งเนื้อนวลสงวน ฯลฯ
                ๏ สลัดไดใดสลัดน้อง           แหนงนอน ไพรฤๅ
                เพราะเพื่อมาราญรอน           เศิกไสร้
                สละสละสมร                         เสมอชื่อ ไม้นา
                นึกระกำนามไม้                     แม่นแม้นทรวงเรียม ฯลฯ
                ๏ สายหยุดหยุดกลิ่นฟุ้ง         ยามสาย
                สายบ่หยุดเสน่ห์หาย              ห่างเศร้า
                กี่คืนกี่วันวาย                         วางเทวษ ราแม่
                ถวิลทุกขวบค่ำเช้า                หยุดได้ฉันใด ฯลฯ
                ๏ พลมอญเมิลมืดท้อง           รัถยา
                อเนกนิกรอาชา                      ชาติช้าง
                ทวนทองเถือกทอตา             เปลือยปลาบ
                เทียวธวัชแลสล้าง                 เฟื่องฟ้าปลิวปลาย
(ร่าย)       ฝ่ายนครกาญจน จัดพลพวกด่าน ผ่านไปสืบเอาเหตุ ในขอบเขตรามัญ เขาก็พากันรีบรัด ลัดเล็ดลอดเลาะดง ตรงไปทางแม่กษัตริย์ จัดกันซุ่มเป็นกอง มองเอาเหตุเอาผล ยลนิกรรามัญ เดินแน่นนันต์นองเถื่อน เกลื่อนมาทั่วออกทิศ หวันก่อกิจดัสกร แก่พระนครตระหนัก เห็นฉัตรปักห้าชั้น กั้นบนเบื้องหลังสาร เขาก็ทราบการโดยขนาด ว่าอุปราชขุนทัพ เร็วรีบกลับมาบอก แดออกญาผ่านเผ้า เจ้านครกาญจนบุริน ยินยุบลข่าวศึก พิลึกลาญขวัญ แหลกแสกกมลทะท้าว ร้าวอุระขุนเมือง เคืองใจราษฎร์ทุกผู้ รู้ตรลอดไพร่นาย เขาทั้งหลายตริกัน ขวัญเกี่ยงกินเผือนเผือด เลือดสลดหมดหน้า บเห็นถ้าต่อรบ รู้ว่าทบบมิทาน รู้ว่าราญบมิรอด คิดเททอดครัวแตก แหกหนีหน้าอย่าพะ เขามละบ้านเมือง เปลืองเปล่าผู้หมู่ชน ชวนกันซนกันซุก บุกป่าดงป่าแดง แฝงเอาเหตุเอาผล ยลกระแหน่เศิกไสร้ เพื่อลงลักษณะให้ ส่งท้าวแถลงความ ท่านนา
                ๏ ชาวสยามคร้ามเศิกสิ้น       ทั้งผอง
                นายและไพร่ไป่ปอง             รบร้า
                อพยพหลบหลีกมอง             เอาเหตุ
                ซุกซ่อนห่อนให้ข้า               ศึกได้ไปเป็น
(ร่าย)        ส่วนนเรนทรสมญา มหาอุปราชรามัญ ธก็ให้ผันพลผ้าย ย้ายมาโดยทางเถื่อน ทัพหน้าเคลื่อนพลเดิม ลุลำกระเพินบมิหึง จึ่งพระยาจิดตอง ให้พลกรองเวฬู ปูเป็นสะพานผ่านชล เร่งเดินพลข้ามฟาก มากนิกรคั่งคาม พวกชาวสยามเห็นตระหนัก จึ่งลงลักษณ์สารสื่อ ใส่ชื่อทั่วตัวขุน ถ้วนทุกมุลทุกนาย แดออกญามหาด ทูลบัวบาทมหิบาล เขาก็รับสารขึ้นม้า รับมาเร็วฤๅช้า บอกข้อเข็ญความ ท่านนา
โคลง๒   ๏ กองทัพตามกันเต้า             เสียงสนั่นลั่นเท้า
                พ่างพื้นไพรพัง เพิกฤๅ
โคลง๔   ๏ ดลยังเวียงด่านด้าว             โดยมี
                เมืองชื่อกาญจนบุรี               ว่างว้าง
                ผู้ใดบ่ออกตี                         ตอยต่อทัพนา
                ยลแต่เหย้าเรือนร้าง             อยู่ไร้ใครแรม
                ๏ สอดแนมจักจับถ้อย          ไถ่ความ
                ฤๅบ่ได้ชาวสยาม                 สักผู้
                จักสืบจักเสาะถาม               เหตุห่อน รู้แฮ
                รู้ว่าชาวเมืองรู้                      เล่ห์แล้วหลีกหนี
                ๏ ธก็กรีธาทัพเข้า                 เนาเมือง
                ประทับอยู่แรมคืนเคือง           สวาทไหม้
                คำนึงนุชไป่เปลือง               จิตท่าน ถวิลนา
                เจ็บอุระราชไข้                     ขุนแค้นคับทรวง
                ๏ ระลวงรำลึกอ้า                  บังอร
                ยลแต่แสงศศิธร                  ถ่องฟ้า
                แสงจันทร์บ่ส่องสมร            หมดเทวษ
                ถวิลบ่ลืมนวลหน้า               แม่แม้นนวลจันทร์ ฯลฯ
                ๏ พระฝืนทุกข์เทวษกล้ำ       แกล่ครวญ
                ขับคชบทจรจวน                  จักเพล้
                บรรลุพนมทวน                   เถื่อนที่ นั้นนา
                เหตุอนาถหนักเอ้                 อาจให้ชนเห็น
                ๏ เกิดเป็นหมอกมืดห้อง       เวหา หนเฮย
                ลมชื่อเวรัมภา                      พัดคลุ้ม
                หวนหอบหักฉัตรา                คชขาด ลงแฮ
                แลธุลีกลัดกลุ้ม                   เกลื่อนเพี้ยงจักรผัน
                ๏ พระพลันเห็นเหตุไซร้       เสียงดวง แดเฮย
                ถนัดดั่งภูผาหลวง                ตกต้อง
                กระหม่ากระเหม่นทรวง         สั่นซีด พักตร์นา
                หนักหฤทัยท่านร้อง              เรียกให้โหรทาย
                ๏ ทั้งหลายล้วนจบแจ้ง         เจนไสย ศาสตร์แฮ
                เห็นตระหนักแน่ใน               เหตุห้าว
                จักทูลบ่ทูลไท                     เกรงโทษ ท่านนา
                เสนอแต่ดีกลบร้าว               เผด็จเสี้ยนศึกสยาม
                ๏ เหตุนี้ผิวเช้าชั่ว                 ฉุกเข็ญ
                เกิดเมื่อยามเย็นดี                 ดอกไท้
                อย่าขุนอย่าลำเค็ญ              ใจเจ็บ พระเอย
                พระจักลุลาภได้                  เผด็จเสี้ยนศึกสยาม ฯลฯ
                ๏ ครั้นฟังบพิตรเพี้ยง          ฟังหู หนึ่งนา
                หูหนึ่งแหนงคำสู                 ซึ่งพร้อง
                ไป่ไว้หฤทัยภู-                   ธรพรั่น อยู่นา
                นึกเร่งกริ่งเกรงต้อง            แต่แพ้ดัสกร ฯลฯ
                ๏ สระเทินสระทกแท้          ไทถวิล อยู่เฮย
                ฤๅใคร่คลายใจจินต์            จืดสร้อย
                คำนึงนฤบดินทร์                บิตุเรศ พระแฮ
                พระเร่งลานละห้อย             เทวษไห้โหยหา
                ๏ อ้าจอมจักรพรรดิผู้           เพ็ญยศ
                แม้พระเสียเอารส               แก่เสี้ยน
                จักเจ็บอุระระทด                ทุกข์ใหญ่ หลวงนา
                ถนัดดั่งพาหาเหี้ยน            หั่นกลิ้งไกลองค์
                ๏ ณรงค์นเรศวร์ด้าว           ดัสกร
                ใครจักอาจออกรอน             รบสู้
                เสียดายแผ่นดินมอญ          พลันมอด ม้วยแฮ
                เหตุบ่มีมือผู้-                      อื่นต้านทานเข็ญ
                ๏ เอ็นดูภูธเรศเจ้า              จอมถวัลย์
                เปลี่ยวอุระราชรัน-              ทดแท้
                พระชนม์ชราครัน               ครองภพ พระเอย
                เกรงบพิตรจักแพ้                เพลี่ยงพล้ำศึกสยาม
                ๏ สงครามครานี้หนัก          ใจเจ็บ ใจนา
                เรียมเร่งแหนงหนาวเหน็บ    อกโอ้
                ลูกตายฤใครเก็บ                 ผีฝาก พระเอย
                ผีจักเท้งที่โพล้                   ที่เพล้ใครเผา
                ๏ พระเนานัคเรศอ้า             เอองค์
                ฤๅบ่มีใครคง                        คู่ร้อน
                จักริจักเริ่มรงค์                     ฤๅลุ แล้วแฮ
                พระจักขุ่นจักข้อน                จักแค้นคับทรวง
                ๏ พระคุณตวงเพียบพื้น        ภูวดล
                เต็มตรลอดแหล่งบน             บ่อนใต้
                พระเกิดพระก่อชนม์             ชุบชีพ มานา
                เกรงบ่ทันลูกได้                   กลับเต้าตอบสนอง ฯลฯ

แปลความ
                เมื่อนั้นเจ้าธานินทร์ บุรินทรศักดิ์สีมา ทุกบุราราชอาณาเขต ประเทศนครสิงห์สรรค์ ศรีสุพรรณทุกภาย เขาก็ขยายครัวครอก ซอกไปซ่อนไปซุก บุกป่าแดงป่าดง แล้วก็ลงลักษณ์ข่าวสาร ส่งอาการเหตุห้าว มาบังคมทูลท้าว ธิราชผู้ผ่านถวัลย์ แลนา พระมหาอุปราชายกทัพมาถึงด่านเจดีย์สามองค์ (ซึ่งเป็นชายแดนระหว่างพม่ากับไทยในปัจจุบัน) ก็ผ่านด่านเจดีย์สามองค์เข้ามาในเขตสยามทันที และพระองค์ได้ทรงรำพันถึงนางสนมว่า
                เสด็จมาลำพังพระองค์เดียวเปล่าเปลี่ยวใจ และน่าเศร้านัก เมื่อทรงชมต้นไม้และดอกไม้ที่ทรงพบเห็นระหว่างทางก็ค่อยเบิกบานพระทัยขึ้นมา บ้าง แต่ก็ไม่วายคิดถึงนางสนมกำนัลทั้งหลาย
                ทรงเห็นต้นสลัดไดทรงดำริว่าเหตุใดจึงต้อง จากน้องมานอนป่า มาเพื่อทำสงครามกับข้าศึก เห็นต้นสละที่ต้องสละน้องมาเหมือนชื่อต้นไม้ เห็นต้นระกำที่ชื่อต้นไม้ช่างเหมือนอกพี่แท้ๆ
                ต้นสายหยุดเมื่อสายก็หมดกลิ่น แต่ใจพี่แม้ยามสายก็ไม่คลายรักน้อง กี่วันกี่คืนที่จากน้องพี่มีแต่ความทุกข์คิดถึงน้องทุกค่ำเช้า ไม่รู้ว่าจะหยุดรักน้องได้อย่างไร
                กองทัพมอญดูมืดฟ้ามัวดิน ทั้งกองทัพ ม้า ช้าง ถืออาวุธเป็นมันปลาบ เห็นธงปลิวไสวเต็มทองฟ้า

                ฝ่ายเจ้าเมืองกาญจนบุรี จัดทหารไปสืบข่าวในเขตมอญ ทหารก็ลัดเลาะไปทางลำน้ำแม่
กษัตริย์ เห็นกองทัพยกมาก็ตกใจ เห็นฉัตรห้าชั้นก็ทราบว่าเป็นพระมหาอุปราชายกทัพมา ก็รีบกลับมาแจ้งข่าวศึกให้เจ้าเมืองกาญจนบุรีทราบ เจ้าเมืองทราบข่าวศึกก็ตกใจมากจนขวัญไม่อยู่กับตัว ปรึกษากันแล้วก็เห็นว่าเมืองเรามีกำลังน้อย ต่อสู้ก็คงสู้ไม่ได้จึงชวนกันหลบหนีเข้าป่าไป ส่วนกองทัพพระมหาอุปราชาเร่งยกทัพมาถึงแม่น้ำ ลำกระเพิน ให้พระยาจิตตองทำสะพานไม้ไผ่ปูเพื่อยกพลเดินข้ามฝาก ชาวสยามเห็นชัดเช่นนั้นจึงมีสารลงชื่อทุกคนรายงานเรื่องข้าศึกยกทัพเข้ามา แล้วให้ขุนแผน (นายด่าน) ขี่ม้าเร็วมาบอกพญามหาดไทย เพื่อกราบทูลเรื่องให้ทรงทราบ กองทัพมอญยกทัพมาถึงเมืองกาญจนบุรีเห็นบ้าน เมืองว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดออกสู้รบ จะจับคนไทยมาสอบถามก็ไม่มีเลยสักคน จึงรู้ว่าคนไทยทราบข่าวและหลบหนีไปหมดแล้ว พระมหาอุปราชาจึงให้ยกทัพเข้าไปในเมือง แล้วยกทัพต่อไปถึงตำบลพนมทวนเกิดลมเวรัมภาพัดหอบเอาฉัตรหัก พระมหาอุปราชาตกพระทัย ทรงให้โหรทำนาย โหรทราบถึงลางร้ายแต่ไม่กล้ากราบทูลตามความจริง กลับทำนายว่า เหตุการณ์เช่นนี้ถ้าเกิดในตอนเช้าไม่ดี ถ้าเกิดในตอนเย็นจะได้ลาภ และจะชนะศึกสยามในครั้งนี้ พระมหาอุปราชาได้ทรงฟังก็ทรงเชื่อครึ่งไม่ เชื่อครึ่ง พระองค์อดที่จะหวั่นในพระทัยไม่ได้ด้วยเกรงพ่ายแพ้ข้าศึก ด้วยความหมกมุ่นในพระทัยก็ทรงระลึกถึงพระราชบิดาว่าถ้าพระองค์เสียโอรสให้แก ข้าศึก จะต้องโทมนัสใหญ่หลวง เพราะเปรียบเหมือนพระองค์ถูกตัดพระพาหาทั้งสองข้างทีเดียว การรบกับพระนเรศวรใครก็ไม่อาจจะต่อสู้ได้ เสียดายแผ่นดินมอญจะต้องพินาศเพราะไม่มีใครอาจจะต่อสู้ต้านทาน สงสารสมเด็จพระราชบิดา ที่จะต้องเปล่าเปลี่ยวพระทัย ทั้งพระองค์ก็ทรงชราภาพมากแล้ว เกรงจะพ่ายแพ้เสียทีแก่ชาวสยาม สงครามครั้งนี้หนักใจนัก เรารู้สึกหนาวเหน็บอยู่ในใจ ลูกตายใครจะเก็บผีไปให้ คงจะถูกทิ้งอยู่ไม่มีใครเผา พระองค์จะอยู่ในพระนครแต่ลำพังพระองค์เดียว ไม่มีใครเป็นคู่ทุกข์ริเริ่มสงครามเพียงลำพังได้อย่างไร พระองค์คงจะต้องคับแค้นพระทัย ฝ่ายเจ้าเมืองต่างๆ ที่อยู่ใกล้ๆ คือ เมืองสิงห์ เมืองสรรค์ เมืองสุพรรณ ก็พากันอพยพผู้คนหนีเข้าป่า แล้วมีสารไปกราบให้พระนเรศวรทรงทราบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น