วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คุณธรรมที่ได้รับจากเรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย


1 .ความรอบคอบไม่ประมาท
                ในเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายนี้เราจะเห็นคุณธรรมของพระนเรศวรได้อย่างเด่นชัดและ สิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถ มากที่สุดคือ ความรอบคอบ ไม่ประมาท
ดั่งโคลงสี่สุภาพตอนหนึ่งกล่าวว่า
                         พระห่วงแต่ศึกเสี้ยน              อัสดง
เกรงกระลับก่อรงค์               รั่วหล้า
คือใครจักคุมคง                     ควรคู่ เข็ญแฮ
อาจประกันกรุงถ้า                                 ทัพข้อยคืนถึง
                หลังจากที่พม่ายกกองทัพเข้ามาพระองค์ก็ทรง สั่งให้พ่ายพลทหารไปทำลายสะพานเพื่อว่าเมื่อฝ่ายไทยชนะศึกสงคราม พ่ายพลทหารของฝ่ายพม่าก็จะตกเป็นเชลยของไทยทั้งหมด นั่นแสดงให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีทัศนคติที่กว้างไกล ซึ่งมีผลมาจากความรอบคอบไม่ประมาท

2 .การเป็นคนรู้จักการวางแผน
                จากการที่เราได้รับการศึกษาเรื่องลิลิตตะเลง พ่ายเราจะเห็นได้ชัดเจนว่าในช่วงตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเปลี่ยนแผน การรบเป็นรับศึกพม่าแทนไปตีเขมร พระองค์ได้ทรงจัดการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอย่างไม่รอช้า ทรงแต่งตั้งให้พระยาศรีไสยณรงค์เป็นแม่ทัพหน้าและพระราชฤทธานนท์เป็นปลัดทัพ หน้าตามด้วยแผนการอื่นๆอีกมากมายเพื่อทำการรับมือ และพร้อมที่จะต่อสู้กับข้าศึกศัตรูทางฝ่ายพม่า ยกตัวอย่างโคลงสี่สุภาพที่แสดงให้เราเห็นถึงการรู้จักการวางแผนของสมเด็จพระ นเรศวรมหาราช
                        พระพึงพิเคราะห์ผู้                  ภักดี ท่านนา
คือพระยาจักรี                        กาจแกล้ว
พระตรัสแด่มนตรี                    มอบมิ่ง เมืองเฮย
กูไกลกรุงแก้ว                        เกลือกช้าคลาคืน
                เมื่อเราเห็นถึงคุณธรรมทางด้านการวางแผนแล้ว เราก็ควรเอาเยี่ยงอย่างเพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตให้เป็นไปอย่างมีระเบียบ มีแบบแผน ซึ่งจากคุณธรรมข้อนี้ก็อาจช่วยเปลี่ยนแปลงให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน ให้กลายเป็นบุคคลที่มีคุณภาพชีวิตทางด้านการวางแผนในการดำเนินชีวิตก็เป็น ได้ถ้าเรารู้จักการวางแผนให้กับตัวเราเอง

3. การเป็นคนรู้จกความกตัญญูกตเวที
                จากบทการรำพึงของพระมหาอุปราชาถึงพระราชบิดา นั้น แสดงให้เราเห็นอย่างเด่นชัดเลยทีเดียวว่าพระมหาอุปราชาทรงมีความห่วงใย อาทร ถึงพระราชบิดาในระหว่างที่ทรงออกรบ ซึ่งแสดงให้เราเห็นถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อพระราชบิดา โดยพระองค์ได้ทรงถ่ายทออดความนึกคิด และรำพึงกับตัวเอง ดั่งโคลงสี่สุภาพที่กล่าวไว้ว่า
                        ณรงค์นเรศด้าว                     ดัสกร
ใครจักอาจออกรอน                รบสู้

ตอนที่ ๑๒ สมเด็จพระวันรัตขอพระราชทานอภัยโทษ



(ร่าย)       ไป่เกินกาลท่านสั่ง กระทั่งแรมสิบห้าค่ำ ย่ำสองนาฬิกาปลาย ทำงนงายพอเสร็จ จึ่งสมเด็จพระวันรัต วัดป่าแก้วแคล้วคลา กับราชาคณะสงฆ์ ยี่สิบห้าองค์สองแผนก แฉกงาสานสรล้าย ผ้ายลุยังวังราช พระบาทธให้นิมนต์ ดลเรือนรัตนมาฬก ตกแต่งอาสน์ลาดเจียม เตรียมเสร็จสงฆ์สู่สถิต บพิตรกรกรรมพุม ชุมบรรพชิตแช่มชื่น ขุนชีอื้นอวยพร ถามข่าวจรจอมภพ ซึ่งเสด็จรบพารณ จนอเรนทรพินาศ ขาดคอคชในรงค์ จึ่งพระองค์อิศเรศ บรรหารเหตุจำบัง จอมสงฆ์ฟังซั้นขาน พระราชสมภารมีชัย ใดทวยบาทมูลิกา ต้องอาชญายินแหนง ตรัสแสดงโดยดับ ว่านายทัพทั้งผอง เกณฑ์เข้ากองพยูห์ โยมสองตูต่อเข็ญ มันเห็นเศิกสระทก ตระดกดาระรัว ยิ่งกว่ากลัวสวามิศ บเต้าติดตูต้อย มละแต่ข้อยสองคน เข้าโรมรณราวิศ ในอมิตรหมู่กลาง แสนเสนางค์เนืองบร จนราญรอนไอยเรศ ลุชเยศมฤตยู จึ่งได้ดูหน้ามัน เพื่อมหันตบารเมศ เบื้องบุเรศบำรุง ผดุงเดชเผือพี่น้อง ผิบพ้องบุญบูรพ์ ไอยศูรย์เสียมภพ ตรลบเลื่องขามนามตะเลง ลือละเวงธาษตรี เป็นธรณีหงสา เสื่อมกฤตยาสยามยศ สาหสสหากมากมวล ควรลงทัณฑ์ถึงม้วย ด้วยพระอัยการศึก จารึกชื่อชั่วฟ้า ไว้เป็นขนบภายหน้า อย่าให้ใครยลเยี่ยงนา     
โคลง๔   ๏ สมเด็จพนรัตเจ้า              จอมชี
ฉลองพจน์ราชวาที                ท่านให้
ทวยทูลละอองธุลี                 บัวบาท  พระนา
พื้นภักดีต่อใต้                       บทเบื้องเรณู
๏ ดูผิดไป่รักท้าว                   ไป่เกรง
แผกระบอบแต่เพรง              ห่อนพ้อง
พระเดชหากแสดงเอง           อำนาจ  พระนา
เสนอทุกทวยธเรศก้อง          เกียรติอ้างอัศจรรย์                ฯลฯ
๏ พระตรีโลกนาถแผ้ว          เผด็จมาร
เฉกพระราชสมภาร               พี่น้อง
เสด็จไร้พิริยะราญ                 อรินาศ  ลงนา
เสนอพระยศยิ่งยินก้อง         เกียรติท้าวทุกภาย
๏ ผิวหลายพยุหยุทธ์ร้า          โรมรอน
ชนะอมิตรมวลมอญ             มั่วมล้าง
พระเดชบ่ดาลขจร                เจริญฤทธิ์  พระนา
ไปทั่วธเรศออกอ้าง               เอิกฟ้าดินไหว
๏ อย่าไทโทมนัสน้อย           หฤทยา
เพื่อพระราชกฤษฏา               แต่กี้
ทุกทวยเทพคณา                   ซุมซ่วย  พระเอย
แสดงพระเดโชชี้                   ชเยศไว้ในสนาม
โคลง๒   ๏ สมดั่งความตูพร้อง            ขอบพิตรอย่าข้อง
                ขุ่นแค้นเคืองกมล  ท่านนา
                ๏ โดยยุบลถ่องแท้              ฤๅสนเท่ห์เล่ห์แล้
ถูกถ้อยแถลงการณ์   นี้นา
(ร่าย)       ปางนฤบาลบดินทร์ ยินสมเด็จพระวันรัต จำแนกอรรถบรรยาย ถวายวิสัชนาสาร โดยพิสดารพรรณนา เสนอสมญายศโยค พระบรมโลกโมลี ด้วยวิธีอุปมาแห่งกฤษฎาภินิหาร ดาลมนัสชุ่มชื้น ตื้นเต็มปรีดิ์ปราโมทย์ โอษฐ์ออกื้นสาธู ชูพระกรกรรพุม ชุมทศนัขเหนือผาก เพื่อยินมลากเลอมาน เจ้ากูขานคำขอบ ชอบทุกสิ่งจริงถ้อย ถวิลบ่แหนงหนึ่งน้อย แน่แท้แถลง แลนา     
โคลง๔   ๏ แจ้งเหตุแห่งเหือดขึ้ง          ในมนัส
จึ่งพระวันรัตวัด                     ป่าแก้ว
ถวายพรบวรศรีสวัสดิ์             สว่างโทษ  ท่านนา
นฤทุกข์นฤภัยแผ้ว                  ผ่องพ้นอันตราย
            ๏ ทั้งหลายทวยบาทเบื้อง        บงกช
ควรโคตรโทษสาหส               อะคร้าว
แต่ทูลธุลีบท                          สนองบาท  มานา
เพรงพระอัยกาท้าว                  ตราบไท้พระเจ้าหลวง
๏ ล่วงถึงบพิตรผู้                    เถลิงถวัลย-  ราชย์ฤๅ
คือพุทธบรรษัทสรรพ์              สืบสร้าง
เชิญดอดอวยทัณฑ์                 ทวยโทษ  นี้นา
            เลยอย่าลาญชีพมล้าง             หนึ่งครั้งขอเผือ
            ๏ ไว้เพื่อผดุงเดชเจ้า               จอมปราณ
ก่อเกิดราชรำบาญ                  ใหม่แม้
พูนเพิ่มพระสมภาร                เพ็ญภพ  พระนา
วายบ่หวังตนแก้                     ชอบได้ไป่มี
(ร่าย)       นฤบดีดาลสดับอรรถ ซึ่งพระวันรัตอภิปราย ถวายพระพรอาจายน์ โทษมวลมาตย์ทุกมุล เพื่อการุญบริรักษ์ ภักดีในบาทบงสุ์ จึ่งพระองค์อนุญาต พระราชทานโทษทั้งผอง โดยอันครองยศ บรรหารพจนพาที ซึ่งเจ้าชีขานขอ ข้อยยกยอโทษให้ แต่ชอบใช้ไปรอน เอานครตะนาวศรี บุรีทวายมริด ถ่ายหนผิดหาชอบ ขุนสงฆ์ตอบคำขาน ข้อโรมราญราวิศ ไป่เป็นกิจตูตาม ใช่เงื่อนงามบรรพชิต โดยพิตรอัธยา เบื้องบัญชาเชิงใช้ ขอลาไท้ลีลาศ ยังอาวาสเวียงวัด ตระบัดท่านจรลี พาเพื่อนชีอะคร้าว คืนสู่ด้าวอาราม เจ้าจอมสยามเสาวนีย์ เนืองมนตรีพ้นโทษ โปรดให้เนาตำแหน่ง แห่งฐานันดรยศ พระราชกำหนดโดยดับ ทัพเจ้าพระยาคลัง รังพลห้าหมื่นเสร็จ เห็จโหมเวียงทวาย หมายเจ้าพระยาจักรี พรักพิรีย์เทียบทัด รัดไปโรมตะนาวศรี ตีมริดเวียงชัย จึ่งชไมมาตยา บัลคลลายาตรพยู่ห์ สู่แดนเศิกโดยปอง ปิ่นเสียมสองสุริยชาติ ตรัสพิภาษพจนา ซึ่งอุตรานคเรศ เขตสีมาเมืองออก เลิกครัวครอกมาหลาย หมายบ่หมดทั้งผอง ตริไตรครองคราวศึก เสื่อมหาญฮึดแบ่งเบา จักโรมเราฤๅย่าน ฝีมือม่านมอญมวล ควรผดุงชนบท ปรากฏเกียรติยืนยง คงคู่กัลป์ประลัย เฉลิมแหล่งไผททั่วด้าว แสดงพระยศไทท้าว ธิราชไว้ไป่วาย นามนา  ฯลฯ    
โคลง๔   ๏ เสร็จแสดงพระยศเจ้า         จอมอยุธ- ยาแฮ
             องค์อดิศรสมมุติ                    เทพไท้
นเรศวรรัตนมกุฎ                    เกศกษัตริย์  สยามฤๅ
หวังอยู่คู่ธเรศไว้                    ฟากฟ้าดินเฉลิม
             ๏รังเริ่มรจเรขอ้าง                  อรรถา  แถลงเอย
เสมอทิพย์มาลย์ผกา               เก็บร้อย
ฉลองบทรัชนรา-                    ธิปผ่าน  ภพฤๅ
โดยบ่เชี่ยวเชลงถ้อย              ถ่องแท้แลฉลาย
            ๏ บรรยายกลกาพย์แสร้ง          สมญา  ไว้แฮ
            สมลักษณ์เล่ห์เสาวนา            เรื่องรู้
            “ตะเลงพ่ายเพื่อตะเลงปรา-     ชเยศ  พระเอย
เสนอฤทธิ์สองราชสู้               ศึกช้างกลางสมร
๏ อวยพรคณะปราชญ์พร้อม     พิจารณ์  เทอญพ่อ
ใดวิรุธบรรหาร                         เหตุด้วย
จงเฉลิมแหล่งพสุธาร               เจริญรอด  หึงแฮ
มลายโลกอย่ามลายม้วย           อรรถอื้นอัญขยม
            ๏ กรมหมื่นนุชิต                      เชื้อ กวีวร
ชิโนรส  มิ่งมหิศร                    เสกให้
ศรีสุคต  พจนสุนทร                เถลิงลักษณ์  นี้นา
            ขัตติยวงศ์  ผจงโอษฐ์ไว้         สืบหล้าอย่าศูนย์     ฯลฯ
            ๏ ผิววงว่ายวัฏเวิ้ง                   วารี  โอฆฤๅ
บลุโลกกุตรโมลี                     เลิศล้น
จงเจนจิตกวี                           วรวากย์  เฉลิยวเอย
ตราบล่วงบ่วงภพพ้น               เผด็จเสี้ยนเบียนสมร ฯลฯ

แปลความ
                ยังไม่พ้นเวลาที่สมเด็จพระนเรศวรทรงกำหนดไว้ พอถึงวันแรม 15 ค่ำ เวลาประมาณ 8 นาฬิกาเศษ สมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้ว กับพระราชาคณะ 25 องค์ สองแผนก คือ ฝ่ายคามวาสี และ อรัญวาสี พากันไปยังพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระนเรศวรรับสั่งให้นิมนต์เข้าไปในท้องพระโรง สมเด็จพระนเรศวรทรงประนมพระหัตถ์แสดงคารวะ พระวันรัตได้ทูลถามข่าวที่สมเด็จพระนเรศวรทำยุทธหัตถีจนพระมหาอุปราชาขาดคอ ช้าง เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงเล่าจบ พระวันรัตกราบทูลว่า พระมหาบพิตรพระราชสมภารเจ้าทรงได้รับชัยชนะ เหตุใดเล่าเหล่าบริพารจึงต้องโทษ ได้ยินแล้วที่สงสัย สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสต่อไปว่า แม่ทัพนายกองทั้งปวงซึ่งได้รับเกณฑ์เข้าในกองทัพ เมื่อเห็นข้าศึกก็ตกใจกลัว ยิ่งกว่ากลัวพระองค์ซึ่งเป็นเจ้านาย ไม่ตามเสด็จให้ทัน ปล่อยให้พระองค์สองพี่น้องเข้าสู้รบท่ามกลางข้าศึกจำนวนมากจนมีชัยชนะรอดพ้น ความตายจึงได้มาดูหน้าพวกทหารเหล่านั้น ทั้งนี้เพราะคุณความดียิ่งใหญ่ที่ได้ทำนุบำรุงบ้านเมืองไว้คอยอุดหนุนพระบรม เดชานุภาพของพระองค์สองพี่น้อง ถ้าไม่ได้ความดีแต่เก่าแล้ว ประเทศไทยจะต้องสิ้นอำนาจเสียแผ่นดินแก่กรุงหงสาวดีเป็นการเสื่อมเสีย เกียรติยศ จึงควรลงโทษถึงตายตามพระอัยการศึกเพื่อให้เป็นตัวอย่างมิให้คนอื่นเอาเยี่ยง อย่างสืบไป
สมเด็จพระวันรัตจึงกราบทูลว่า บรรดา ข้าทูลละอองธุลีพระบาทล้วนมีความจงรักภักดี เป็นการผิดแปลกไปจากแบบแผนแต่ก่อนที่ว่าไม่จงรักยำเกรงพระองค์ ทั้งนี้เพราะพระบรมเดชานุภาพสำแดงให้ปรากฏแก่ปวงชนเป็นที่น่าอัศจรรย์จึง บันดาลให้เป็นเช่นนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ( พระตรีโลกนาถ ) ทรงชนะพระยามารลำพังพระองค์เอง เช่นเดียวกับสมเด็จพระนเรศวร พระเอกาทศรถ เสด็จไปปราบอริราชศัตรูจนแพ้พ่ายโดยปราศจากไพร่พล พระเกียรติยศจึงเลื่องลือกึกก้องไปทั่วทุกแห่งหน หากมีทหารล้อมมากมายถึงเอาชนะได้ พระเกียรติยศก็ไม่ฟุ้งเฟื่องเพิ่มพูนขึ้น และกษัตริย์ทั้งหลายก็จะไม่พากันออกพระนามเอิกเกริกกันเช่นนี้ ขอพระองค์ทั้งสองอย่าได้โทมนัสน้อยพระทัยไปเลย ทั้งนี้เพราะเพื่อราชกฤฎาภินิหารของพระองค์ ทวยเทพทั้งหลายจึงบันดาลให้เป็นไปดังนั้น ขอมหาบพิตรทั้งสองพระองค์ อย่าได้ทรงขุ่นแค้นพระทัยไปเลย ทั้งนี้เป็นไปตามที่กราบทูลทุกประการ
                สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงฟังพระวันรัตถวายวิสัชนา บรรยายโดยพิสดารโดยวิธีเปรียบเทียบกับกฤฎาภินิหารแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงปราโมทย์ ออกพระโอษฐ์สาธุถวายนมัสการแล้วตรัสว่า พระวันรัตกล่าวคำน่าขอบใจ ทุกสิ่งที่ชี้แจงสมควรและเป็นจริงไม่สงสัยแม้แต่น้อย พระวันรัตเห็นว่าทรงคลายกริ้วแม่ทัพนายกองแล้ว จึงกล่าวถวายพระพรให้พระองค์ปราศจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งปวง แล้วกราบทูลต่อไปว่า แม่ทัพนายกองเหล่านี้มีความผิดรุนแรง ควรได้รับโทษทั้งโคตร แต่เคยได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณมาแต่ก่อนนับตั้งแต่สมัยสมเด็จพระมหา จักรพรรดิพระบรมราชอัยกา และสมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชบิดา จนล่วงถึงสมเด็จพระนเรศวรได้ขึ้นครองราชสมบัติ เปรียบได้กับพุทธบริษัททั้งปวง ช่วยกันดำรงพระพุทธศาสนาต่อมา ขอให้พระองค์ทรงงดโทษประหารชีวิตแม่ทัพนายกองไว้สักครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้เป็นกำลังส่งเสริมพระบรมเดชานุภาพ เมื่อศึกสงครามเกิดขึ้นอีก เขาเหล่านั้นจะคิดแก้ตัว หาความดีความชอบเพื่อเพิ่มพูนพระบารมีให้แผ่ไปทั่วบ้านเมืองชองพระองค์เป็นแน่
                สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงสดับข้อความของพระวันรัต ที่ทูลขออภัยบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวง ก็ทรงพระกรุณาที่ว่าบุคคลเหล่านี้ยังจงรักภักดีต่อพระองค์อยู่ จึงพระราชทานอภัยโทษตามคำทูลของพระวันรัต แต่ทรงเห็นสมควรที่จะใช้ให้ไปตีเมืองตะนาวศรี ทวาย และ มะริด เป็นการชดเชยความผิด สมเด็จพระวันรัตกราบทูลว่า การรบทัพจับศึกไม่ใช่กิจอันควรที่พระภิกษุจะเห็นด้วย พระองค์จะทรงมีพระราชบัญชาใช้สอยประการใดสุดแล้วแต่พระราชอัธยาศัย แล้วสมเด็จพระวันรัตถวายพระพรลา พาคณะสงฆ์กลับวัด สมเด็จพระนเรศวรจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้แม่ทัพนายกองพ้นโทษและคงดำรงตำแหน่งยศเดิม สมเด็จพระนเรศวรทรงมีพระราชกำหนดให้ เจ้าพระยาคลังคุมทหาร 50,000 คน ไปตีเมืองทวาย ให้เจ้าพระยาจักรีคุมทัพจำนวนรี้พลเท่ากันไปตีเมือง มะริด และ ตะนาวศรี มหาอำมาตย์ทั้งสองกราบถวายบังคมลาไปเตรียมทัพยกไปทันที แล้วทั้งสองพระองค์ก็มีพระราชดำรัสถึงหัวเมือง ฝ่ายเหนือว่า ไทยได้กวาดต้อนครอบครัวเข้ามาจำนวนมากแต่ยังไม่หมด ทรงมีพระราชดำริว่าถึงศึก พม่า มอญ ว่าคงจะลดลงถึงจะยกมาก็คงไม่น่ากลัว ควรจะได้ทะนุบำรุงหัวเมืองฝ่ายเหนือไว้ให้รุ่งเรืองปรากฏเป็นเกียรติยศสืบ ต่อไปชั่วกัลปาวสาร

ตอนที่ ๑๑ พระนเรศวรทรงสร้างสถูปและปูนบำเหน็จทหาร


โคลง๔   ๏ ราชาชัเยศอื้น                    โองการ
                รังสฤษฏ์พระสถูปสถาน       ทึ่มล้าง
                ขุนเข็ญคู่รำบาญ                 สวมศพ ไว้แฮ
                หนตระพังตรุสร้าง                สืบหล้าแหล่งเฉลิม
(ร่าย)       เสร็จเริ่มรณแล้วไสร้ ธให้เจ้าเมืองมล่วน ถ้วนทั้งคชหมอควาญ จำทูลสารเสียรงค์ องค์อุปราชเอารส ขาดคชลาญชีพ รีบเร็วยาตรอย่าหึง ไปแจ้งอึงกฤษฎาการ แด่มหิบาลผู้เผ้า เจ้าแผ่นภพหงสา แล้วธให้คลาพยุหทัพ กลับคืนครองครอบเหล้า เถลิงอยุธยเย็นเกล้า ทั่วทวยสยาม สิ้นนา     
โคลง๔   ๏ กรุงรามฤทธิ์เฟื่องฟ้า           ฟู่ภพ
             ตระบัดบพิตรปรารภ                ชอบพ้น
             เจ้ารามราฆพ                         คงคู่ เสด็จนา
             ตำแหน่งกลางช้างต้น            ต่อด้วยดัสกร
๏ กุญชรวรพ่าห์ท้าย               เถลิงงาน
องค์อนุชนฤบาล                    บั่นเสี้ยน
ขุนศรีคชคงชาญ                    ชเยศ ยิ่งนา
สนองบาทยาตรยุทธ์เที้ยน    เพื่อนไท้ในรณ
            ๏ สองผจญอริราชด้วย          โดยเสด็จ
            คุณขอบตอบบำเหน็จ           ท่านให้
            ครบเครื่องอุปโภคเสร็จ        ทุกสิ่ง สรรพแฮ                                     
เงินและทองทาสใช้               อีกทั้งทวยเชลย
๏ แล้วเผยพจนารถชั้น           บรรหาร
ยกชอบกอบบำนาญ              ที่ม้วย
นายมหานุภาพควาญ             กลางคช หนี่งนา
หมื่นภักดีศวรด้วย                  ศึกสู้เสียตน
             ๏ นบัดดลดำรัสให้                ปูนยศ
             ทรัพย์สิ่งศรีสำรด                   ทั่วทั้ง
             บุตรทารท่านแทนทด           ความชอบ เขานา
             สมที่ภักดีตั้ง                       ต่อเหง้าเผ่าเฉลิม
(ร่าย)       เพิ่มบำเหน็จเสร็จไซร้ ธให้เชิญพระอัยการศึก ปรึกษาโทษขุนทัพ สรรพทั้งมวลหมู่มาตย์ ว่าอริราชริปู ยกพยูหเหยียบเขต ประเวศชานเวียงชัย พระบาทไทธทั้งสอง ปองพระศาสน์อำรุง ผดุงชุมชีทวิชาติ ทั่วทวยราษฎร์ประชา ไป่ระอาออกท้อ ข้อลำเค็ญพระองค์ ทรงพระอุตสาหภาพ เสด็จปราบราชอรี ปวงมนตรีนายทัพ สรรพทุกตนทุกตัว กลัวอเรนทร์เหลือล้น พ้นยิ่งพระราชอาชญา ไป่ยาตราพลขันธ์ ทันเสด็จด้าวรณรงค์ มละสารทรงสองเต้า เข้าท่ามกลางปัจนึก ถึงสู้ศึกหัสดี มีชเยศเสร็จสรรพ โทษขุนทัพทั้งมวล ควรประการใดไสร้ โดยระบอบแบบไว้ แต่เบื้องโบราณ รีตนา  ฯลฯ
โคลง๒   ๏ ถวายพิพากษาชั้น                 ดำรัสโดยเหตุหั้น
                แห่งเบื้องบันทึก โทษนา
                ๏ คำนึงนึกบาปใกล้              วันบัณรสีไซร้
                จวบเข้าควรงด หน่อยนา
                ๏ กำหนดพรุกเพ็ญแท้            พันธนาไว้แล้
                ตรุตรึ้งตรากขัง มั่นนา
 โคลง ๓    ๏ ตั้งแต่ปาฏิบท                     ล่วงอุโบสถเสด็จแล้ว
                เร่งสฤษฏ์โทษอย่าแคล้ว         คลาดด้าวดำเนิน บทนา

แปลความ
                สมเด็จพระนเรศวรมีรับสั่งให้สร้างสถูปสวมทับที่พระองค์ทรงทำยุทธหัตถี ณ ตำบลตระพังตรุ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสืบต่อไป  เสร็จ ศึกยุทธหัตถีแล้ว สมเด็จพระนเรศวรโปรดให้เจ้าเมือง มล่วน รวมทั้งควาญช้างกลับ ไปแจ้งข่าวการแพ้สงครามและการสิ้นพระชนม์ของพระมหาอุปราชาแก่พระเจ้าหงสาวดี แล้วพระองค์ก็ยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา ชื่อเสียงของกรุงศรีอยุธยาก็ลือเลื่องไปทั้งแผ่นดิน จากนั้นก็ทรงปรารภเรื่องการพระราชทานความดีความชอบแก่ พระยารามราฆพ ( กลางช้างของพระนเรศวร ) และ ขุนศรีคชคง ( ควาญช้างของพระเอกาทศรถ ) โดยพระราชทานบำเหน็จ เครื่องอุปโภค เงิน ทอง ทาส และเชลยให้แล้วก็พระราชทานบำนาญแก่บุตรภรรยาของ นายมหานุภาพ และ หมื่นภักดีศวร ที่เสียชีวิตในสงครามให้สมกับความดีความชอบและที่มีความภักดีต่อพระองค์ ต่อมาก็ทรงปรึกษาโทษแม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จ ไม่ทันตามกฎของพระอัยการศึกว่า ในการที่ข้าศึกยกทัพเข้ามาเหยียบแดนถึงชานพระนคร พระองค์และพระเอกาทศรถทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทำนุบำรุงเหล่าสมณพราหมณ์และ ประชาราษฎรมิได้ย่อท้อต่อความยากลำบาก ทรงพระราชอุตสาหะเสด็จออกไปปราบอริราชศัตรู แต่แม่ทัพนายกองทั้งปวงกลับกลัวข้าศึกยิ่งกว่าพระอาญา ไม่พยายามยกไปรบให้ทัน ปล่อยให้ทั้งสองพระองค์ทรงช้างพระที่นั่งฝ่าเข้าไปท่ามกลางข้าศึกตามลำพัง จนถึงได้กระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะ ลูกขุนได้เชิญกฎพระอัยการออกค้นดู เห็นว่าจะได้รับโทษถึงประหารชีวิต แต่เนื่องจากใกล้วัน 15 ค่ำ ( บัณรสี ) จึงทรงพระกรุณางดโทษไว้ก่อน ต่อวันหนึ่งค่ำ (ปาฏิบท) จึงให้ลงโทษประหาร

ตอนที่ ๑๐ ยุทธหัตถี และชัยชนะของไทย



โคลง๔   ๏ นฤบาลบพิตรเผ้า               ภูวนา ยกแฮ
ผายสิหนาทกถา                     ท่านพร้อง
ไพเราะราชสุภา-                    ษิตสื่อ สารนา
เสนอบ่มีข้อข้อง                    ขุ่นแค้นคำไข
๏ อ้าไทภูธเรศหล้า                 แหล่งตะเลง โลกฤๅ
เผยพระยศยินเยง                   ย่านแกล้ว
สิบทิศทั่วลือละเวง                 หวั่นเดช ท่านนา
ไป่เริ่มรอฤทธิ์แผ้ว                   เผือดกล้าแกลนหนี
๏ พระพี่พระผู้ผ่าน                  ภพอุต- ดมเอย
ไป่ชอบเชษฐ์ยืนหยุด             ร่มไม้
เชิญราชร่วมคชยุทธิ์              เผยยอเกียรติ ไว้แฮ
สืบกว่าสองเราไสร้                สุดสิ้นฤๅมี
๏ หัสดีรณเรศอ้าง                  อวสาน นี้นา
นับอนาคตกาล                      ห่อนพ้อง
ขัตติยายุทธ์บรรหาร              คชคู่ กันแฮ
คงแต่เผือพี่น้อง                     ตราบฟ้าดินกษัย
๏ ไว้เป็นมหรสพซ้อง             สุขศานติ์
สำหรับราชสำราญ                 เริ่มรั้ง
บำเทิงหฤทัยบาน                   ประดิยุทธ์ นั้นนา
เสนอเนตรมนุษย์ตั้ง               แต่หล้าเลอสรวง
๏ ป่วงไท้เทเวศทั้ง                 พรหมมาน
            เชิญประชุมในสถาน               ที่นี้
            ชมชื่นคชบำราญ                   ตูต่อ กันแฮ
            ใครเชี่ยวใครชาญชี้                ชเยศอ้างอวยเฉลิม
๏ หวันเริ่มคุณเกียรติก้อง        กลางรงค์
ยืนพระยศอยู่คง                     คู่หล้า
สงครามกษัตริย์ทรง               ภพแผ่น สองฤๅ
สองราชรอนฤทธิ์ร้า               เรื่องรู้สรเสริญ
๏ ดำเนินพจน์พากย์พร้อง       พรรณนา
องค์อัครอุปราชา                   ท่านแจ้ง
กอบเกิดขัตติยมา-                 นะนึก หาญเฮย
ขับคชเข้ายุทธ์แย้ง                ด่วนด้วยโดยถวิล
๏ หัสดินปิ่นธเรศไท้              โททรง
คือสมิทธิมาตงค์                   หนึ่งอ้าง
หนึ่งคือศิริเมขล์มง                คลอาสน์ มารเอย
เศียรส่ายหงายงาคว้าง           ไขว่แคว้งแทงโถม
๏ สองโจมสองจู่จ้วง              บำรู
สองขัตติยสองขอชู               เชิดด้ำ
กระลึงกระลอกดู                    ไวว่อง นักนา
ควาญขับคชแข่งค้ำ              เข่นเขี้ยวในสนาม
๏ งามสองสุริยราชล้ำ            เลอพิศ นาพ่อ
พ่างพัชรินทรไพจิตร              ศึกสร้าง
ฤๅรามเริ่มรณฤทธิ์                  รบราพณ์ แลฤๅ
ทุกเทศทุกทิศอ้าง                  อื่นไท้ไป่เทียม
๏ ขุนเสียมสามรรถต้าน          ขุนตะเลง
ขุนต่อขุนไป่เยง                    หย่อนห้าว
ยอหัตถ์เทิดลบองเลบง          อังกุศ ไกวแฮ
งามเร่งงามโทท้าว                ท่านสู้ศึกสาร
๏ คชยานขัตติเยศเบื้อง         ออกถวัลย์
โถมปะทะไป่ทัน                    เหยียบยั้ง
สารทรงราชรามัญ                 ลงล่าง แลนา
เสยส่ายท้ายทันต์ทั้ง             คู้ค้ำคางเขิน
๏ ดำเนินหนุนถนัดได้            เชิงชิด    
หน่อนเรนทรทิศ                   ตกด้าว   
เสด็จวราฤทธิ์                       รำร่อน ขอแฮ
ฟอนฟาดแสงของ้าว              อยู่เพี้ยงจักรผัน
            ๏ เบื้องนั้นนฤนาถผู้               สยามมินทร์
            เบี่ยงพระมาลาผิน                  ห่อนพ้อง
            ศัสตราวุธอรินทร์                  ฤๅถูก องค์เอย
            เพราะพระหัตถ์หากป้อง         ปัดด้วยขอทรง
๏ บัดมงคลพ่าห์ไท้                ทวารัติ
แว้งเหวี่ยงเบี่ยงเศียร               สะบัด ตกใต้
อุกคลุกพลุกเงยงัด                 คอคช เศิกแฮ
เบนบ่ายหงายแหงนให้           ท่วงท้อทีถอย
            ๏ พลอยพล้ำเพลียกถ้าท่าน    ในรณ
            บัดราชฟาดแสงพล-               พ่ายฟ้อน
            พระเดชพระแสดงดล            เผด็จคู่ เข็ญแฮ
            ถนัดพระอังสางข้อน             ขาดด้าวโดยขวา
            ๏ อุรารานร้าวแยก                  ยลสยบ
            เยนพระองค์ลงทบ                 ท่าวดิ้น
            เหนือคอคชซอนซบ              สังเวช
            วายชิวาตม์สุดสิ้น                   สู่ฟ้าเสวยสวรรค์
            ๏ บั้นท้ายคชาเรศท้าว            ไทยไผท
            ถึงพิราลัยลาญ                        ชีพมล้าง
            เพราะเพื่อพิพิธไพ-                รีราช แลนา
            โซรมสาดตราดปืนขว้าง         ตอกต้องตนสลาย
            ๏ ฝ่ายองค์อิศวรนาถน้อง       นฤบาล
            แสดงยศคชยุทธยาน              ยาตรเต้า
            มางจาชโรราญ                       ฤทธิ์ราช แลฤๅ
            เร็วเร่งคเชนทรเข้า                 เข่นค้ำบำรู
            ๏ บัดภูธเรศพ่าห์ได้               เชิงชน
            ลงล่างง้างโททนต์                 เทิดใต้
            พัชเนียงเบี่ยงเบนตน             เซซวน ไปแฮ
หัวปั่นหันข้างให้                   เพลี่ยงพลั้งเสียที
๏ ภูมีมือง่าง้าว                       ของอน
ฟันฟาดขาดคอบร                 บั่นเกล้า
อินทรีย์ซบกุญชร                  เมือชีพ แลเฮย
เผลพระเกียรติผ่านเผ้า           พี่น้องสองไท
            ๏ ทันใดกลางคชเจ้า              จุลจักร
            มลายชิพิตลาญทัก                   ท่าวซ้ำ
            เหลือหลามเหล่าปรปักษ์        ปืนป่าย เอาเฮย
            ตรึงอกพกตกขว้ำ                   อยู่เบื้องบนสาร
            ๏ พระราญอริราชด้วย          เดโช
            สี่ทาสสนองบาทโท               ท่านท้าว
            พระยศยิ่งภิยโย                     ผ่านแผ่ ภพนา
             สองรอดโดยเสด็จด้าว          ศึกสู้เสียสอง
(ร่าย)       จึ่งกองพยุหทวยทัพ สรรพหลังหน้าขวาซ้าย ผ้ายทันธิบดินทร์ ขณะอรินทรพินาศ ขาดคอคชสองเสร็จ ต่างรีบระเห็จเข้าโรม โหมหักหาญราญรุก บุกบั่นฟันแทงฆ่า พม่ามอญไทยใหญ่ ไล่ล้างลาวดาษดวน ไล่มล้างยวนดาษดื่น ตื่นกันแตกกันตายหลายเหลือนับเนืองนอง กองก่ายกายรายหัว ตัวขาแขนเด็ดดาษ กลาดกลางท่งกลางเถื่อน เกลื่อนกลางดงกลางดอน แล่นซอกซอนซนซุก บุกทุกภายพ่ายแพ้ เพราะพระเดชท่านแท้ หากให้ขาดเข็ญ แลนา     
โคลง๒   ๏ เห็นประภาพเจ้าช้าง           เชี่ยวกว่าเชี่ยวเหลืออ้าง
                เอิกอื้ออัศจรรย์ ยิ่งนา
                ๏ ขวัญหนีดีฝ่อพ้น              พวกอเรนทร์ด่วนด้น
                ดัดดั้นทางทวน ไปนา ฯลฯ

แปลความ
                สมเด็จพระนเรศวรทรงมีพระราชดำรัสอันไพเราะไม่มีสุรเสียงขุ่นแค้นพระทัยเลยแม้แต่น้อยว่า
ผู้ทรงเป็นใหญ่แห่งประเทศมอญ พระเกียรคิยศเลื่องลือไปไกลทั่วทั้งสิบทิศ ข้าศึกได้ยินก็เกรงพระบรมเดชานุภาพ ไม่กล้าสู้รบพากันหนีไป พระเจ้าผู้พี่ปกครองประเทศอันบริบูรณ์ยิ่ง เป็นการไม่สมควรเลยที่พระเจ้าพี่ประทับอยู่ใต้ร่มไม้ เชิญพระองค์เสด็จมาร่วมทำยุทธหัตถีร่วมกัน เพื่อแสดงเกียรคิไว้ให้เป็นที่ปรากฏ ต่อจากเราทั้งสองจะไม่มีอีกแล้ว การรบด้วยการชนช้างจะถึงที่สุดเพียงนี้ ต่อไปจะไม่ได้ไม่พบอีก การที่กษัตริย์ทำยุทธหัตถีกัน ก็คงมีแต่เราสองพี่น้อง ตราบชั่วฟ้าดินสลาย การทำยุทธหัตถีก็เปรียบประดุจการเล่นที่รื่นเริงของกษัตริย์เพื่อให้ชมเล่นเป็นขวัญตาแก่มนุษย์จนถึงเมืองสวรรค์ ขอทูลเชิญเทวดาและพรหมทั้งปวงมาประชุมในสถานที่นี้เพื่อชมการยุทธหัตถี ผู้ใดเชี่ยวชาญกว่า ขอทรงอวยพรให้ผู้นั้นรับชัยชนะ  หวัง จะให้พระเกียรติยศในการรบครั้งนี้ดำรงอยู่ชั่วฟ้าดิน ว่ากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ได้กระทำสงครามกัน ใครรู้เรื่องก็จะได้ยกย่องสรรเสริญกันตลอดไป
                เมื่อสมเด็จพระนเรศวรได้ตรัสพรรณนาดังนั้น พระมหาอุปราชาได้ทรงสดับก็บังเกิดขัตติยะมานะกล้าหาญขึ้น รีบไสช้างเข้าต่อสู้โดยเร็วด้วยความกล้าหาญ   ช้าง ทรงของผู้เป็นใหญ่ทั้งสองพระองค์ เปรียบเหมือนช้างเอราวัณและช้างคิรีเมขล์อันเป็นพาหนะของวัสวดีมาร ต่างส่ายเศียรและหงายงาโถมแทงอยู่ขวักไขว่  สอง กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่งามเลิศล้ำน่าชมยิ่งหนัก ประหนึ่งพระอินทร์และไพจิตราสูรทำสงครามกัน หรือไม่ก็เหมือนกับพระรามรบกับทศกัณฐ์ กษัตริย์อื่นในทุกประเทศและทุกทิศไม่เสมอเหมือน กษัตริย์ แห่งกรุงสยามก็สามารถต้านพระมหาอุปราชาได้ ทั้งสองไม่ทรงเกรงกลัวกันเลย และไม่ได้ลดความห้าวหาญลงแม้แต่น้อย พระหัตถ์ก็ยกพระแสงของ้าวขึ้นกวัดแกว่งตามแบบฉบับ  ช้าง ทรงของสมเด็จพระนเรศวรโถมเข้าใส่ไม่ทันตั้งหลักยั้งตัว ช้างทรงของพระมหาอุปราชาได้ล่างใช้งาทั้งคู่ค้ำคางเจ้าพระยาไชยานุภาพแหงน สูงขึ้น จึงได้ทีถนัด พระมหาอุปราชาเห็นเป็นโอกาส จึงเงื้อพระแสงของ้าวจ้วงฟันอย่างแรงราวกับจักรหมุน แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงพระมาลาหลบพร้อมกับใช้พระแสงของ้าวปัดเสียทัน อาวุธของพระมหาอุปราชาจึงไม่ถูกพระองค์
                ทันใดนั้นช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรเบนสะบัด ได้ล่าง จึงใช้งางัดคอช้างของพระมหาอุปราชาจนหงาย ช้างของพระมหาอุปราชาเสียท่าต้องถอยหลังพลาดท่าในการรบ สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงเงื้อพระแสงของ้าวฟันถูกพระมหาอุปราชาที่พระอังสาขวา ขาดสะพายแล่ง พระอุระของพระมหาอุปราชาถูกฟันจนเป็นรอยแยก พระวรกายก็เอนซบอยู่บนคอช้างเป็นที่น่าสลดใจ สิ้นพระชนม์แล้วได้ไปสถิตในแดนสวรรค์   ควาญ ช้างของสมเด็จพระนเรศวร คือ นายมหานุภาพก็ถูกปืนข้าศึกเสียชีวิต ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถได้ทำยุทธหัตถีกับ มางจาชโร (พระพี่เลี้ยงของพระมหาอุปราชา) พระเอกาทศรถได้ใช้พระแสงของ้าวฟันถูกมางจาชโรตายซบอยู่บนหลังพลายพัชเนียร นั่นเอง และกลางช้างของพระเอกาทศรถ คือ หมื่นภักดีศวรก็ถูกปืนข้าศึกตาย ทั้งสองพระองค์รบกับข้าศึกในครั้งนี้ด้วยพระ บรมเดชานุภาพ เพราะมีแค่ทหารสี่คนและพระองค์ทั้งสองเท่านั้น พระเกียรติจึงแผ่ไปไกล ทหารที่ติดตามไปตายสองและรอดกลับมาสอง กองทัพไทยติดตามมาทันเมื่อพระมหาอุปราชาขาดคอ ช้างแล้ว ต่างก็รีบเข้ามาช่วยรบ ฆ่าฟันทหาร พม่า มอญ ไทยใหญ่ ลาว เชียงใหม่ ตายลงจำนวนมากเหลือคณานับ ที่เหลือบุกป่าฝ่าดงหนีไป ทั้งนี้เป็นพระบรมเดชานุภาพของพระองค์โดยแท้